จามจุรีเป็นไม้ต่างถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาใต้ เช่น กัวเตมาลา เปรู โบลิเวีย บราซิล รวมทั้งในหมู่เกาะอินดิสตะวันตก และในแถบยุโรป ปัจจุบันได้มีการนำไปปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศโซนร้อนเกือบค่อนโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
จามจุรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนที่มีฝนตกชุกปานกลาง ถึงฝนตกหนักตลอดปีเป็นต้นไม้ที่ชอบน้ำ และความชุมชื้น เช่นในหมู่เกาะอินดิสตะวันตก ฟิลิปปินส์ พม่า มาเลเซีย และไทย
การขยายพันธุ์
ปัจจุบันจามจุรีสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ด ซึ่งผลของจามจุรีนั้นจะแก่ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคม – มกราคม ซึ่งมีการเก็บเมล็ดกันมากในช่วงนี้ในบริเวณที่พบจามจุรี โดยทั่วๆ ไป สำหรับแหล่งเมล็ดพันธุ์จามจุรีของกรมป่าไม้ คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากมีต้นจามจุรีอยู่มาก
การปลูก
การปลูกจามจุรีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อผลทางการเศรษฐกิจจึงเป็นไปเพื่อการเลี้ยงครั่งเป็นหลัก ประโยชน์อย่างอื่น เช่น เนื้อไม้ พืชอาหารสัตว์ จึงเป็นผลพลอยได้ และการปลูกสวนจามจุรีเพื่อการเลี้ยงครั่ง นั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การเตรียมพื้นที่และการเพาะปลูก เนื่องจากจามจุรีเป็นไม้โตเร็วต่างประเทศ ซึ่งปลูกง่ายและขยายพันธุ์ได้เร็ว เป็นไม้ที่ไม่เลือกชนิดของดิน แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในที่ราบสูงตั้งแต่ริมทะเลไปจนถึงที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 300 – 400 เมตร จึงสามารถขึ้นได้ทั่วไปในประเทศไทย ในขั้นตอนของการเตรียมพื้นที่ปลูกจะเหมือนๆ กับการปลูกสร้างสวนป่าอื่นๆ คือ การเก็บเผา และ ไถดะเพื่อปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการปลูก หลังจากที่ได้มีการนำเมล็ดไปเพาะแล้ว อาจนำไปปลูกได้เลยหรือใช้เมล็ดหยอดหลุม โดยขุดหลุมกว้างและลึก 30เวนติเมตร แต่การย้ายกล้าปลูกจะมีอัตราการรอดตายสูงกว่า ระยะในการปลูก 4 x 4 เมตร และ4 x 6 เมตร หรือ 4 x 8 เมตร แต่เนื่องจากเป็นไม้ที่มีเรือนพุ่มขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงต้องตัดสางออกในระหว่างการปลูกช่วงแรก โดยให้มีระยะการปลูก 10 x 10 เมตร ดังนั้นในพื้นที่ 1 ไร่ จะมีจามจุรี 16 ต้น แต่หากความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวจะน้อยกว่า 10 เมตร ก็ได้
2. การบำรุงรักษา ภายหลังการปลูกแล้วต้องมีการบำรุงรักษาให้ต้นไม้รอดตาย โดยมีการปลูกซ่อมในภายหลังโดยจะต้องทำการป้องกันไฟ โดยทำแนวกันไฟรอบบริเวณแปลงปลูกต้นไม้และมีการแผ้วถางวัชพืชอย่างน้อยปีละ 2 – 3 ครั้ง ในขณะที่ต้นไม้ยังเล็กอยู่หากจะมีการดายหญ้าพรวนดินใส่ปุ๋ย โดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมี ใส่ปีละ 1 – 2 ครั้ง ก็เพียงพอจะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตและแข็งแรงดี
3. การตัดแต่งกิ่ง โดยเหตุที่ลูกครั่งชอบอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากกิ่งไม้ของต้นไม้ที่อวบอ่อน ลูกครั่งไม่สามารถดูดน้ำเลี้ยงเป็นอาหารจากกิ่งไม้แก่ๆ เพราะเปลือกไม้แข็งทำให้ลูกครั่งซึ่งมีปากเป้นงวง (probosis) ไม่สามารถชอนไชลงไปในเปลือกจนดูดเอาน้ำเลี้ยงมาเป็นอาหารได้ ต้นไม้ที่มิได้ตัดตกแต่งไว้เลยอาจใช้เพาะเลี้ยงครั่งได้ โดยลูกครั่งจะเลือกเกาะทำรังอยู่ในส่วนของกิ่งเฉพาะตรงที่เหมาะสมเท่านั้น หรือเฉพาะกิ่งที่มีอายุไม่แก่จนเปลือกแข็ง แต่ผลผลิตครั่งที่ได้ไม้ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการตกแต่งกิ่งก่อนการปล่อยครั่งจึงมีความจำเป็น การตัดแต่งกิ่งต้องรักษารูปทรงของเรือนยอดไว้ และมีที่ว่างสำหรับกิ่งที่งอกใหม่ให้เจริญเติบโตได้ดีและต้นไม้ที่จะตัดแต่งกิ่งต้องสมบูรณ์แข็งแรง การตัดแต่งกิ่งเพื่อเก็บครั่งจงอย่าถือความสะดวกเป็นสำคัญ คือถ้ากิ่งใดมีครั่งจับอยู่จนถึงโคนหรือติดลำต้นอย่าตัดให้ชิดลำต้น ขนาดของกิ่งที่เหมาะสมที่จะตัดแต่งกิ่งนั้นมีขนาด 3/4 –1 นิ้ว ตามเส้นผ่าศูนย์กลางโดยตัดให้เหลือต่อไว้ยาวไม่เกิน 18นิ้ว กิ่งที่แห้งตายหรือตายเป็นโรคตัดทิ้งออกให้หมด กิ่งที่มีรอยแตกร้าวหรือกิ่งหักให้ตัดรอยแตกหรือรอยหัก แต่หากต้นไม้ที่ปลูกมีขนาดอายุของกิ่งอวบอ่อนพอจะเลี้ยงครั่งได้ ก่อนปล่อยครั่งเพียงแต่ตัดสางกิ่งแห้งหรือกิ่งที่เป็นโรคไม่สมบูรณ์ออกให้หมดเท่านั้นก็พอที่จะปล่อยครั่งได้ แต่ปริมาณผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควรเพราะอายุของกิ่งไม่เท่านั้น ครั่งจะเลือกจับเฉพาะกิ่งที่เหมาะสมเท่านั้น
4. การปล่อยครั่งเพาะเลี้ยง ต้นไม้ที่จะใช้เป็นแม่ไม้เลี้ยงครั่งได้เหมาะสมดีนั้นจะต้องมีขนาดอายุกิ่งอวบอ่วนพอดี ต้องได้รับการตัดแต่งกิ่งให้ถูกต้องหรือได้ตัดทอนกิ่งขณะที่ตัดเก็บครั่งจากต้นไม้ โดยถูกวิธีแล้วปล่อยให้กิ่งที่ตัดแต่งนั้นเจริญเติบโตมีขนาดของกิ่งอวบอ่อนพอดี คือ มีอายุกิ่ง 12 – 18 เดือน สำหรับไม้จามจุรีที่ปลูกในสภาพดินค่อนข้างสมบูรณ์สามารถ ปล่อยครั่งได้เมื่อมีอายุ 5 ปี โดยไม่ต้องตัดแต่งกิ่ง การปล่อยครั่งเพาะเลี้ยงนั้นใช้ปริมาณครั่งพันธุ์ตามขนาดและชนิดของต้นไม้ และความสมบูรณ์ของเรือนยอดเป็นหลัก
5. โรคและแมลง โดยทั่วไปแล้วไม้ยืนต้นจะเจริญเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอถ้าไม่มีแมลงศัตรูพืชรบกวน ไม่แบกน้ำหนักมากเกินไปซึ่งต้องได้รับการตกแต่งกิ่งให้เหมาะสม และมีอาหารแร่ธาตุในดินบริบูรณ์ ดังนั้น สาเหตุของการระบาดของแมลงศัตรูพืชทั้งหลาย เช่น กรณีของไม้จามจุรีน่าจะเนื่องมาจากต้นจามจุรีอ่อนแอจากการที่มีอายุมากขึ้น และการเอาใจใส่ดูแลบำรุงรักษาไม่เพียงพอ อาจเนื่องจากงบประมาณและแรงงานน้อยอย่างไรก็ตาม จามจุรีตั้งแต่เริ่มปลูกจนเป็นต้นขนาดเล็กจะมีศัตรูทำลายลำต้นและกิ่งสดแล้ว อาจเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ตายตั้งแต่ยังอายุน้อย ถ้าหากรอดชีวิตมีอายุมากเป็น 10 – 20 ปี แต่ขาดการดูแลรักษา เช่น ถ้าไม่ตัดตกแต่งกิ่งจะมีผลไปเพิ่มแหล่งอาหารและเป็นที่อยู่อาศัยของศัตรูพืช เช่น ด้วง ซึ่งทำลายไม้สดอยู่ตลอดทุกปี ถ้าไม่สังเกตเห็นนานวันเข้าถึงจุดๆ หนึ่งซึ่งต้นไม้อ่อนแอและมีสภาพเหมาะสมแก่การที่เพลี้ยแป้งหรือแมลงหวี่ขาวอื่นๆ ลงทำลายและระบาดหนักในเวลาต่อมาต้นไม้ไม่สามารถต้านทานได้ แมลงเหล่านี้โดยเฉพาะแมลงหวี่ขาวซึ่งระยะดักแด้มีขนาดเล็กมากเห็นเป็นจุดสีดำ จากทางด้านท้องใบ ถ้าไปเก็บมาและดูอย่างพิจารณา ก็จะคิดว่าเป็นเขม่าหรือมลพิษจากท่อไอเสีย สำหรับเพลี้ยแป้ง นอกจากจะมีชนิดที่สร้างไขแป้ง (wax) ปกคลุมตัวแล้วยังมีชนิดที่สร้างเส้นใย และไขแป้งไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจะสังเกตได้จากใต้ต้นเป็นบริเวณขาวโพลนตลอดบริเวณที่ทำลาย เช่น กิ่งอ่อน โคนก้านใบ ตาใบ ฝักอ่อนและอื่นๆ เนื่องจากการเกาะทำลายหนาแน่นมาก นอกจากนี้ยังพบว่ามีการทำลายของพวกไรแดง (Tetramychidae) ในต้นที่เพลี้ยแป้งลงทำลายด้วยเพราะต้นไม้ต้นเดียวนั้น สามารถมีศัตรูพืชได้มากมายหลายชนิดในระยะการเจริญเติบโตที่ต่างกันของไม้นั้น แมลงศัตรูสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และโครงสร้างของปากให้เหมาะสมกับพืชอาหาร (host) ได้ดี จากการศึกษาของ ฉวีวรรณ (2536)สามารถรวบรวมแมลงที่เป็นศัตรูต้นจามจุรีได้ดังนี้ คือ พวกทำลายใบ ได้แก่ หนอนม้วนใบ(Archips micacaena Walker) เพลี้ยแป้งจามจุรี (Dysmicoccus neobrevipes Beardsley) แมลงค่อมทอง (Hypomeces squamosus (F:) และบุ้งสะแก (Trabala vishnou Lefroy) พวกทำลายเนื้อไม้ ได้แก่ แมลงทับ (Agrilus sp.) แมลงทับ 6 จุด (Chysobothris sp.) ด้วงปีกกระ (Coptops annulipes Gahan) หนอนเจาะไม้ (Xystrocera globosa Olivier) ส่วนหนอนกินเปลือกนั้นไม่ได้ทำความเสียหายให้เห็นชัดเจน มักพบในต้นที่มีอายุมาก
การป้องกันกำจัดและการควบคุม การควบคุมแมลงศัตรูจามจุรี ในระยะยาวน่าจะเป็นวิธีผสม (Integrated control) นั่นคือหลังจากใช้สารเคมีลดจำนวนศัตรูพืชจามจุรีลงไปมากแล้ว ก็น่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศัตรูตามธรรมชาติที่จะจัดการควบคุมกันเอง เราสามารถพบศัตรูธรรมชาติของจามจุรีได้หลายชนิดทั้งตัวห้ำและตัวเบียน อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุของการระบาดของแมลงศัตรูพืชต่างๆ คือ การขาดดุลทางธรรมชาติอย่างรุนแรงระหว่างศัตรูจามจุรีและศัตรู ธรรมชาติ นอกเหนือไปจากความอ่อนแอของต้นไม้ ภาวะแห้งแล้งและการต้านทานต่อสารเคมีของแมลงศัตรู
ปัญหาและอุปสรรค เนื่องจากการปลูกไม้จามจุรีโดยทั่วไปเพียงเพื่อการเลี้ยงครั่งและเป็นไม้ประดับยืนต้น เท่านั้น แม้แต่การเลี้ยงครั่งเองชาวสวนครั่งของไทยประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพรองผลผลิตที่ได้จะไม่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นกับราคาครั่งถ้าราคาต่ำผู้เลี้ยงจึงไม่สนใจที่จะเลี้ยงครั่ง ความสนใจในไม้จามจุรีจึงพลอยน้อยลงไปด้วย ถึงแม้ปัจจุบันเนื้อไม้จามจุรีจะสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการแกะสลัก นั่นก็เป็นเหตุทำให้การลดจำนวนของต้นจามจุรีลงการปลูกทดแทนในอัตราส่วนเท่าเทียมกันจึงไม่ได้เกิดขึ้น จามจุรีโดยทั่วไปจึงมีแต่ขนาดใหญ่ต้นเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตหาได้ยาก อาจเป็นเพราะว่าจามจุรีเป็นไม้โตเร็ว แต่การที่จะใช้ประโยชน์เนื้อไม้หรือเลี้ยงครั่งได้นั่นก็กินเวลามากกว่า 5 ปี ผลผลิตระยะแรกน้อยมากเพียง 5 กิโลกรัมต่อต้น หากจะปลูกพืชแทรกโดยใช้ระบบวนเกษตรก็ทำได้ยาก เพราะร่มของจามจุรีหนาทึบ แสงแดดผ่านลงมายาก ถ้าหากปลูกในสภาพสวนป่าผลผลิตต่อพื้นที่ต่อปีก็น้อยเกินไป รวมทั้งรัฐบาลให้ความสนใจน้อย จึงยังคงเป็นอาชีพของกลุ่มคนเล็กๆ ที่สภาพสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยให้จึงสามารถทำได้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ประโยชน์ของไม้จามจุรีมีมากมายหลายอย่างนับเป็นไม้อเนกประสงค์ชนิดหนึ่ง หากแต่การเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งส่งเสริมให้ได้ใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของจามจุรีอย่างเต็มที่ มีตลาดรองรับไม่เพียงแต่ด้านเนื้อไม้เท่านั้น เชื่อว่าจะเป็นการลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าลงได้บ้างทีเดียว สภาพสิ่งแวดล้อมทั้งอากาศ ความชื้น และความร่มเย็นตาก็ตามมาเนื่องจากจามจุรีเป็นต้นไม้แห่งฝนนั่นเอง
การเจริญเติบโตและผลผลิต ประเทศไทยได้กำหนดความหมายของไม้โตเร็วจากความโตของเส้นรอบวงของต้นไม้นั้นโดยวัดที่จุดสูงเพียงอก (DBH) เป็นหลักเน้นเกี่ยวกับความโตของต้นไม้ที่ใช้งานได้เป็นเกณฑ์ คือเส้นรอบวงที่จะสูงเพียงอก 100 เซนติเมตร ซึ่งไม้ที่โตวัดรอบตรงระดับความสูงได้100 เซนติเมตร ภายในอายุ 15 ปี จัดเป็นไม้โตเร็ว และไม้จามจุรีก็เช่นกันถ้าหากปลูกในดินทรายจะมีความเจริญเติบโตทางเส้นรอบวงถึง 10.80 เซนติเมตรต่อปี และเฉลี่ยความเจริญเติบโตทางความสูง 68 เซนติเมตร เมื่ออายุน้อยจามจุรีจะเจริญเติบโตเร็วกว่าเมื่อมีอายุมากขึ้น และจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตเต็มที่เมื่ออายุ 15 ปี ซึ่งสามารถให้ผลผลิตครั่งได้สูงสุด 100 – 250 กิโลกรัม โดยจามจุรีชนิดดอกสีเหลืองชมพูเปลือกเทาดำ ใบเขียวเข้ม ปล่อยครั่งได้ดีกว่าชนิดดอกสีเหลือง เปลือกขาวเทา และใบเขียวอ่อน อัตราการเจริญเติบโตของไม้จามจุรีจะมีอัตราสม่ำเสมอให้ผลผลิตทางเนื้อไม้มากหากเปรียบเทียบกับไม้มะขามแล้ว จามจุรีให้ผลผลิตเนื้อไม้มากกว่า
การใช้ประโยชน์ จามจุรีเป็นไม้เอนกประสงค์ คือสามารถใช้ประโยชน์จากต้นจามจุรีได้ในหลายๆ ด้าน เช่น เนื้อไม้ ใบ ดอก ผล นอกจากนี้ยังมีผลทางอ้อมอีก เช่น ร่มเงา การเลี้ยงครั่งเป็นต้น ประโยชน์ของไม้จามจุรีทางด้านต่างๆ สามารถจำแนกออกได้เป็น
ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ ในปัจจุบันเนื้อไม้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแกะสลักไม้ภาคเหนือ ซึ่งมีการดำเนินงานในรูปสหกรณ์หัตถกรรมไม้ วัตถุดิบ นอกจากไม้จามจุรีคือไม้สักมีราคาแพงและหายากทำให้ไม้จามจุรีจึงมีบทบาทในการทดแทนไม้สักได้มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากไม้จามจุรี ราคาถูก สามารถหาได้ง่ายกว่าไม้สัก เนื้อไม้มีแก่นสีดำคล้ำสวยงาม เมื่อขัดตกแต่งจะขึ้นเงาแวววาว เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทุกระดับทั่วไป เนื่องจากความชื้นในไม้จามจุรีมีมาก ทำให้เกิดปัญหาไม้แตกในระหว่างการแกะสลักหรือหลังจากเป็นผลิตภัณฑ์ วิธีแก้ไข คือ การอบไม้โดยค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิจนกระทั่งไม่มีความชื้นหรือใกล้เคียงกับบรรยากาศทั่วไป มูลค่าของไม้แกะสลักที่จำหน่ายจะสูงกว่ามูลค่าไม้แปรรูปเพียงใด ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของไม้แกะสลักในเรื่องนี้ไม้จามจุรีจะด้อยกว่าไม้สัก และมูลค่าของไม้แกะสลักจะสูงกว่าไม้แปรรูปถึง 3 เท่า ในปี พ.ศ. 2521 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักสูงถึง 300 ล้านบาท
ประโยชน์ทางด้านอื่นๆ
1) จามจุรีเป็นแม่ไม้ที่ใช้เลี้ยงครั่งได้ผลดีมากชนิดหนึ่งโดยเฉพาะชนิดที่มีดอกสีชมพูเปลือกสีเทาดำ ใบเขียวเข้ม ครั่งจะจับได้ดี ไม้ชนิดนี้สามารถเลี้ยงครั่งทั้งรอบฤดูร้อนและฤดูฝน แต่ผลผลิตครั่งที่ได้ปริมาณมาก คือ ครั่งที่ตัดเก็บในเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม คุณภาพของครั่งไม้ก้ามปูมีทั้งชั้นคุณภาพ A และ B ผลผลิตครั่งที่ตัดเก็บได้ประมาณ 5 – 10 กิโลกรัม ต่อต้นเมื่ออายุ 6 ปี ในเนื้อที่ 1 ไร่ หากต้นจามจุรีมีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปจะได้ผลผลิตครั่งประมาณ 10 – 50 กิโลกรัม ต่อต้นหรือมากกว่านั้น (น